สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 10-16 พฤษภาคม 2564

 

ข้าว
 
1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1 พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และงบประมาณ ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย
3 มาตรการ ได้แก่
(1)โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 8,600 บาทรวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่
เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปีการผลิต 2563/64โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2563/64 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร
ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน)นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
3)โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร  เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ขอดำเนินการจ่ายเงินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ก่อนในเบื้องต้น
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,617 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,682 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.55
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,927 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,892 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.39
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 23,175 บาท ราคาลดลงจากตันละ 24,050 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.64
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,800 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,100 บาท ในสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 2.13
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 781 ดอลลาร์สหรัฐฯ (24,174 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 798 ดอลลาร์สหรัฐฯ (24,687 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.13 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 513 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 496 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,352 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 502 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,530 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.20 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 178 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 496 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,352 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 502 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,530 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.20 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 178 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.9526 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
มาเลเซีย
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) รายงานว่า ในปีการตลาด 2564/65 (มกราคม-ธันวาคม 2564) คาดว่าผลผลิตข้าวของมาเลเซียจะมีประมาณ 18.50 ล้านตันข้าวสาร ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจำนวน 18.75 ล้านตัน ในปี 2563/64 เนื่องจากมีการลดพื้นที่เพาะปลูกข้าวลงจากการที่เกษตรกรเปลี่ยนไปปลูกปาล์มน้ำมัน ประกอบกับเกษตรกรมีอายุมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานด้านการเกษตร
ที่ผ่านมา ในปี 2562 อัตราการพึ่งพาผลผลิตข้าวในประเทศ (self-sufficiency of rice) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 72 ลดลงจากเป้าหมายของรัฐบาลที่ร้อยละ 75 ทำให้รัฐบาลต้องมีมาตรการในการเพิ่มผลผลิตข้าวโดยการเพิ่มการอุดหนุนและให้สิ่งจูงใจกับเกษตรกร โดยรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการต่างๆ เป็นเงินประมาณ 380.90
ล้านเหรียญสหรัฐฯ เช่น การอุดหนุนด้านเมล็ดพันธุ์ การให้เงินจูงใจในการเพิ่มผลผลิต การอุดหนุนด้านราคา
การอุดหนุนด้านปุ๋ย รวมทั้งการอุดหนุนด้านยาปราบศัตรูพืช เป็นต้น สำหรับความต้องการบริโภคข้าวนั้น ในปีการตลาด 2564/65  คาดว่าจะมีประมาณ 2.90 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากจำนวน 2.95 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2563/64 เนื่องจากคาดว่าความต้องการบริโภคข้าวลดลงจากการที่กิจการโรงแรมและร้านอาหารต่างๆ ถูกปิด เนื่องจากการระบาดของเชื้อ COVID-19
สำหรับการนําเข้าข้าวในปีการตลาด 2564/65 คาดว่าจะมีประมาณ 1.05 ล้านตัน ลดลงจากจำนวน 1.15 ล้านตัน ในปี 2563/64 เนื่องจากความต้องการที่ลดลง ทั้งนี้ ประเทศเวียดนาม และอินเดีย ถือเป็นแหล่งนําเข้าข้าวรายใหญ่ของมาเลเซีย คิดเป็นร้อยละ 80 ขณะที่แหล่งนําเข้าอื่นๆ เช่น ปากีสถาน เมียนมาร์ และไทย เป็นต้น
รัฐบาลมาเลเซีย ไม่มีนโยบายควบคุมราคาข้าวที่นําเข้า ซึ่งบริษัท Bernas Bhd ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการด้านการนําเข้าข้าวของประเทศ โดยรัฐบาลได้กำหนดอัตราภาษีนําเข้าข้าวสำหรับการบริโภค (import tax on rice for human consumption and) ไว้ที่ร้อยละ 40 และภาษีนําเข้าข้าวสำหรับอาหารสัตว์ (import tax on imports for animal feed) ไว้ที่ร้อยละ 15
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ควบคุมราคาข้าวขายปลีก (retail rice price) ของข้าวท้องถิ่น (ST15 variety) ไว้ที่ 1.65-1.8 ริงกิตต่อกิโลกรัม (ประมาณ 400-440 เหรียญสหรัฐต่อตัน)
ที่มา:  สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และ Oryza.com
 
ฟิลิปปินส์
สำนักงานสถิติแห่งชาติ (the Philippines Statistics Authority; PSA) รายงานว่า ผลผลิตข้าวเปลือก ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 (มกราคม-มีนาคม 2564) มีประมาณ 4.626 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.60 เมื่อเทียบกับจำนวน 4.261 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานสถิติแห่งชาติ (PSA) และกระทรวงเกษตร (DA) คาดว่าปีนี้ฟิลิปปินส์จะมีผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและผลผลิตต่อพื้นที่เพาะปลูก โดยคาดว่าในช่วงไตรมาสแรก มีผลผลิตข้าวเปลือกประมาณ 4.57 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.27 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่กระทรวงเกษตร (DA) ตั้งเป้าในปีนี้ที่จะผลิตข้าวเปลือกให้ได้ประมาณ 20.40 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 5 จากจำนวน 19.40 ล้านตัน ในปีที่ผ่านมา โดยต้องการที่จะให้อัตราการพึ่งพาผลผลิตข้าวในประเทศ (rice sufficiency level) อยู่ที่ระดับร้อยละ 93
ที่มา:  สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และ Oryza.com
 
จีน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัฐบาลจีนมุ่งมั่นที่จะเพิ่มความมั่นคงด้านธัญพืชโดยการส่งเสริมผลผลิตธัญพืชมากขึ้น ซึ่งคณะรัฐมนตรีของจีนตั้งเป้าที่จะรักษาเสถียรภาพของราคารับซื้อข้าวและข้าวสาลีขั้นต่ำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการส่งเสริมผลผลิตข้าว และเพิ่มความมั่นคงด้านธัญพืช โดยรัฐบาลคาดว่า ในปีนี้จะมีการเก็บเกี่ยวธัญพืชเพิ่มมากขึ้น
ศูนย์ข้อมูลธัญพืชและน้ำมันแห่งชาติ (China National Grain & Oils Information Center; CNGOIC) คาดการณ์ว่าในปี 2564 ประเทศจีนจะมีผลผลิตข้าวเปลือกประมาณ 215 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนข้าวโพด คาดว่าจะมีประมาณ 272 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และข้าวสาลีคาดว่าจะมีประมาณ 136.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2564  ประเทศจีนนําเข้าข้าวเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่จะนําเข้าจากต่างประเทศ เช่น ปากีสถาน เมียนมาร์ ไทย และเวียดนาม เป็นต้น
จากข้อมูลของสำนักงานศุลกากร (the Customs Authorities of China) รายงานว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี มีการนําเข้าข้าวประมาณ 910,000 ตัน มูลค่าประมาณ 434.15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 203.3 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 180.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยนําเข้าจากประเทศปากีสถานมากที่สุด
คิดเป็นมูลค่าประมาณ 127.61 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 339.70 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และคิดเป็นร้อยละ 29.40 ของการนําเข้าข้าวทั้งหมดของจีน
นอกจากนี้ ยังนําเข้าจากเมียนมาร์เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 220.4 ประเทศไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 83 และเวียดนามเพิ่มขึ้นร้อยละ 206.3 ขณะที่การนําเข้าจาก อินเดียเพิ่มขึ้นร้อยละ 65,464 ทั้งนี้ เมื่อเดือนธันวาคม 2563 มีรายงานว่าประเทศจีนได้ซื้อข้าวหักจากอินเดีย ประมาณ 100,000 ตัน ในราคาประมาณ 300 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน โดยกําหนด
ส่งมอบระหว่างเดือนธันวาคม 2563- กุมภาพันธ์ 2564
ศูนย์การค้าธัญพืชแห่งชาติ (China’s National Grain Trade Center; NGTC) รายงานว่า ในเดือนเมษายน 2564 มีการจําหน่ายข้าวเปลือก (old crop paddy) จากสต็อกรัฐบาลจำนวน 160,053 ตัน (คิดเป็นร้อยละ 2.5 ของจำนวน
ที่นําออกมาประมูล) จากจำนวนข้าวเปลือกเก่าในสต็อกรัฐบาลที่นําออกมาประมูลขาย 4 ครั้ง รวมจำนวน 6.30 ล้านตัน
ซึ่งลดลงจากจำนวน 488,622 ตัน ที่จําหน่ายได้ในเดือนก่อนหน้า
ที่มา:  สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และ Oryza.com

 
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%

 


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.66 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.68 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.26 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.10 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 6.11 ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.16
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.38 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 9.34 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.43 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.95 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.98 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.33
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 306.00 ดอลลาร์สหรัฐ (9,464.00 บาท/ตัน)  สูงขึ้นจากตันละ 305.00 ดอลลาร์สหรัฐ (9,436 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.33 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 28.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกรกฎาคม 2564 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 734.00 เซนต์ (9,066.43 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 752.40 เซนต์ (9,291.57 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.45 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 225.14 บาท


 


มันสำปะหลัง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2564 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.163 ล้านไร่ ผลผลิต 30.108 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 3.286 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.918 ล้านไร่ ผลผลิต 28.999 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.252 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.75 ร้อยละ 3.82 และร้อยละ 1.05 ตามลำดับ โดยเดือนพฤษภาคม 2564 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.475 ล้านตัน (ร้อยละ 4.78 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2564 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2564 ปริมาณ 18.40 ล้านตัน (ร้อยละ 61.13 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดลดลง โดยผลผลิตมีคุณภาพต่ำ เนื่องจากมีฝนตก ทั้งนี้หัวมันสำปะหลังส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่โรงงานแป้งมันสำปะหลัง
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.94 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 1.99 บาท
ในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 2.50
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.76 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.50 บาท
ในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 4.50
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ7.09 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 13.95 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 13.94 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 0.07
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 260 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,048 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (8,043 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 483 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,950 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (14,942 บาทต่อตัน)

 


ปาล์มน้ำมัน

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2564 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนพฤษภาคมจะมีประมาณ 1.989 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.358 ล้านตัน สูงขึ้นจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.902 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.342 ล้านตัน ของเดือนเมษายน คิดเป็นร้อยละ 4.57 และร้อยละ 4.68 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 4.68 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 4.54 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.08                                                            
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 36.13 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 32.78 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 10.22
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาอ้างอิงน้ำมันปาล์ม ตลาดเบอร์ซามาเลเซีย ในวันที่ 12 พ.ค. 64 ปิดตัวสูงสุดที่ตันละ 4,524 ริงกิต ปัญหาการขาดแคลนแรงงานส่งผลกระทบต่อการผลิตปาล์มน้ำมัน จากในต้นปี 2564 ผลผลิตของมาเลเซียคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 19.60 ล้านตัน แต่ผลของการขาดแคลนแรงงานทำให้ผลผลิตคาดการณ์ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 19.00 ล้านตัน และความต้องการน้ำมันปาล์มในตลาดโลกยังคงมีความไม่แน่นอน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะในประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่อย่างอินเดีย ราคาน้ำมันปาล์มที่สูงขึ้นคาดว่าจะส่งผลให้อุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น เครื่องสำอาง ของกินของใช้ต่างๆที่มีส่วนประกอบของน้ำมันปาล์ม มีต้นทุนสูงขึ้น ส่งผลต่อราคาที่จะกระทบต่อผู้บริโภคต่อไป 
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 4,826.99 ดอลลาร์มาเลเซีย (37.10 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 4,626.31 ดอลลาร์มาเลเซีย (35.54 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.34         
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,298.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (40.73 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 1,250.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (39.21 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.84
หมายเหตุ  :  ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน

 


อ้อยและน้ำตาล
  1. สรุปภาวะการผลิต  การตลาดและราคาในประเทศ
           ไม่มีรายงาน
  1. สรุปภาวการณ์ผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
          เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ราคาของน้ำตาลคริสตัลในเซาเปาโลประเทศบราซิลสูงถึง 113.89 เรียลบราซิล/50 กก. ในขณะที่สัญญาซื้อขายตลาดนิวยอร์กเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 111.33 เรียลบราซิล/50 กก. ทำให้ยอดขายน้ำตาลในประเทศทำกำไรได้มากกว่าการส่งออก 2.3% ตามการคำนวณของ Cepea ยิ่งไปกว่านั้น Rabobank ยังแนะนำว่าราคาเอทานอลที่สูงจะทำให้ราคาน้ำตาลในตลาดนิวยอร์กอยู่ในช่วง 15.5-18.5 เซนต์/ปอนด์ สำหรับสัญญาเดือนกรกฎาคมและตุลาคมน้ำตาลส่วนใหญ่ของบราซิลได้มีการขายล่วงหน้าไปแล้ว ดังนั้น ราคาเอทานอลต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากจึงจะส่งผลกระทบต่อสัดส่วนการผลิตน้ำตาล
          ราคาน้ำตาลตลาดนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากค่าเงินเรียลบราซิลที่แข็งขึ้นเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม นอกจากนี้ Safras & Mercado ยังแนะนำว่าสภาพอากาศในภาคกลาง-ใต้ของบราซิลจะยังคงแห้งแล้งจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมซึ่งอาจทำให้ผลผลิตลดลงแม้ว่าฤดูกาลจะสิ้นสุดเร็วกว่าปกติถึง 40 วันก็ตาม ขณะที่ Maersk ตั้งข้อสังเกตว่า สินค้าขนส่งทางทะเลอยู่ในระดับทรงตัวและน่าจะกลับสู่ระดับปกติภายในปี 2565 แม้ว่าจะยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนการระบาดของโคโรน่าไวรัส



 

 
ถั่วเหลือง

1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 18.55 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 18.37 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.98
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 19.63 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ  
ราคาในตลาดต่างประเท (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,626.60 เซนต์ (18.75 บาท/กก.)สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1,589.12 เซนต์ (18.32 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.36
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 438.36 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13.76 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 426.84 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13.39 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.70
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 67.65 เซนต์ (46.79 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 67.13 เซนต์ (46.41 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.77


 

 
ยางพารา
 
 

 
ถั่วเขียว

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 23.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 20.50 บาท ใน
สัปดาห์ก่อน ร้อยละ 12.20
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี        
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,001.50 ดอลลาร์สหรัฐ (31.02 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ1,003.00 ดอลลาร์สหรัฐ (31.03 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.15 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 936.00 ดอลลาร์สหรัฐ (29.00 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 937.67 ดอลลาร์สหรัฐ (29.01 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.18 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,164.00 ดอลลาร์สหรัฐ (36.06 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,165.67 ดอลลาร์สหรัฐ (36.06 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.14 แต่คงตัวในรูปเงินบาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 741.50 ดอลลาร์สหรัฐ (22.97 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 742.33 ดอลลาร์สหรัฐ (22.96 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.11 แต่เพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,254.75 ดอลลาร์สหรัฐ (38.87 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,257.00 ดอลลาร์สหรัฐ (38.89 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.18 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท


 

 
ถั่วลิสง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 40.47 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 45.44 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 10.94
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.37 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 27.79 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.71 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 57.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 54.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน


 

 
ฝ้าย

    สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
          ราคาที่เกษตรกรขายได้
          ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
    

          ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
          
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2564 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 86.37 เซนต์(กิโลกรัมละ 59.76 บาท) ลดลงจากปอนด์ละ 88.52 เซนต์ (กิโลกรัมละ 61.21 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.43 (ลดลงในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 1.45 บาท)
 

 
ไหม

ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,811 บาท ลดลงจาก 1,889 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 4.12 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,811 บาท ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,546 บาท สูงขึ้นจาก 1,597 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 3.19 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,546 บาท ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ไม่มีรายงาน  
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,062 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผานมา


 

 
ปศุสัตว์

สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
  
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลง เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดมีมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ  76.48 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 77.13 คิดเป็นร้อยละ 0.84 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 73.81 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 74.09 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 77.93 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 76.92 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้  ตัวละ 2,800 บาท ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.00 บาท ลดลงจาก 79.00 คิดเป็นร้อยละ -2.53 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
 
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 34.54 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 34.55 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.03 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 33.67 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 42.92 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงานส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 10.50 บาท ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
   
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ                                                                                                                 
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 278 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 273 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.83 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 292 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 280 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 274 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา  
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 310 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 300 บาท คิดเป็นร้อยละ 3.33 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 338 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 340 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.59 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 348 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 356 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 309 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 350 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 305 บาท สูงขึ้นจาก 285 บาท คิดเป็นร้อยละ 7.02 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 

โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
   
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 98.08 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 98.10 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.02 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 98.21 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 99.65 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 90.28 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 105.43 บาท

กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 78.19 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 78.45 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.33 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.65 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 75.78 บาท  ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา 
 
 
 

 
 

 
ประมง

สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 10 - 16 พฤษภาคม 2564) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
 2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 55.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 50.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.00 บาท
  สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 75.80 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
  สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.42 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 139.71 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.71 บาท
 สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.83 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 131.67 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.84 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 73.88 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 71.01 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.87 บาท
  สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
  สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 220.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.09 บาท ราคาลดลง จากกิโลกรัมละ 11.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.91 บาท
 สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 33.75 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.25 บาท และปลาป่น         
ชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 28.75 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.25 บาท